วันที่ 5
: เมืองใหม่
มาถึงกรุงปารีสใหม่ ๆ ตอนแรกเข้าใจว่าสภาพบ้านเมืองคงจะมีลักษณะทางสถาปัตยกรรมแบบเรียบ ๆ ซึ่งเป็นผลจากการออกแบบและสร้างเมืองใหม่ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19 จนกระทั่งถึงปัจจุบันเพราะเท่าที่เห็นอาคารในเมืองส่วนใหญ่ยังคงเป็นแบบเก่าก่อสร้างด้วยปูน เรียบ ๆ ไม่สูงมากทั้งเมือง เพราะถูกบังคับด้วยกฎหมายก่อสร้าง…แต่วันนี้พอรู้ว่าจะต้องไปดูงาน “เมืองใหม่” ซึ่งเป็นอาคารที่มีรูปทรงสถาปัตยกรรมที่ทันสมัยกว่า เลยรู้ว่าอ้อ เขามีย่านเศรษฐกิจใหม่หรูหราระดับโลก ดูตึกเก่า ๆ มาหลายวันดูตึกทรงใหม่ ๆ บ้างท่าจะเป็นการดี ตำแหน่งที่ตั้งของเมืองใหม่ก็คล้าย ๆ เรากำลังจะไปย่าน เมืองทองธานี ยังไงยังงั้น..!
เมืองใหม่จะเห็นอาคารทรงสูงทันสมัยอยู่ด้านหลังหอไอเฟล นั่นล่ะ..!
เป็นเช่นนั้นจริง ๆ La De’fense ลาเดฟ็องส์ ย่านธุรกิจขนาดใหญ่ที่สำคัญของกรุงปารีส อุบัติขึ้นในปี 1956 รัฐบาลฝรั่งเศสขณะนั้นได้อนุมัติให้สร้างอาคารที่ทันสมัยล้ำยุคที่ชานกรุงปารีสเนื่องจากการควบคุมผังเมืองปารีสไม่อนุญาตให้ก่อสร้างอาคารสูงซึ่งอาจมีผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม เมืองใหม่จึงต้องขยับออกมาสร้างเกือบชานเมือง…ข้อสำคัญเป็นสถาปัตยกรรมที่ทันสมัยมากแตกต่างจากของเก่าโดยสิ้นเชิงอาคารแต่ละแห่งสูงเฉียบเสียดฟ้าในพื้นที่กว่า 77.5 เอเคอร์ มีอาคารกระจกเสริมเหล็กราว 72 ตึก พื้นที่สำนักงานประมาณ 3.5 ล้านตารางเมตร ปัจจุบันเป็นศูนย์ธุรกิจที่สำคัญของยุโรป ภายในมีรัฐวิสาหกิจ สำนักงานระหว่างประเทศ ออฟฟิศ ธนาคาร ห้างสรรพสินค้ากว่า 300 แห่ง ตรงกลางเป็นลานโล่งไว้จัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น นิทรรศการ การแสดงหรือโชว์ศิลปดนตรี การจัดอีเว้นท์ แต่เท่าที่ประเมินภายนอกออกจะหงอย ๆ (หรือตาจะไม่ถึง) ยังไงก็เถอะในความรู้สึกส่วนตัวชอบสถาปัตยกรรมแบบเก่าที่อยู่ในเมืองมากกว่า คลาสสิค เรียบโก้ ไม่ล้าสมัย ไม่ตกเทรนด์ อยู่ได้ตลอดกาล ตามเข้าไปดูด้านในสำนักงานผังเมืองของที่นี่ซึ่งเป็นห้องรวบรวมและแสดงโครงสร้างโมเดลด้านผังเมืองของอาคารเมืองใหม่ทั้งหมด ดูแล้วน่านำมาทำไว้ที่สำนักการช่างเทศบาลบ้างจัง คงจะอลังการงานสร้างและได้ประโยชน์ดีไม่ใช่น้อย
เส้นทางกำลังจะไป ลาเดฟ็องส์
ป้ายทางเข้า
ภาพรวม มองจากที่สูง
เดินผ่านทางเข้าด้านหน้าเทียบกับคน ดูจิ๋วไปเลย
สูง
เฉี่ยว
เฉียบ
ว้าวว..
ลานกว้างไว้สำหรับจัดกิจกรรม
เดิน เดินอย่างเดียว
กำลังเข้าไปดูภายในสำนักผังเมือง
เข้ามาด้านในแล้ว
ภายในจะเป็นการจำลองรูปแบบโมเดลของเมืองใหม่ในลักษณะต่าง ๆ
ตั้งใจดูแนวทางการใช้ประโยชน์ที่ดินของเขา
ชอบโมเดลพวกนี้มาก
คุณภาวิณีนำชมและอธิบายเหมือนเดิม
: ลูฟร์ (The Louvre Museum)
ออกจาก ลาเดฟ็องส์ รีบจูนเครื่องแทบไม่ทันเพราะเรากำลังจะไป “พิพิธภัณฑ์ลูฟร์” ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ทางศิลปะที่มีชื่อเสียง เก่าแก่และใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เดิมเคยเป็น พระราชวังหลวง ปัจจุบันเป็นสถานที่เก็บและจัดแสดงผลงานทางศิลประดับโลกเป็นจำนวนมาก ว่าไปแล้วการได้มาปารีสคราวนี้นับว่าเป็นบุญวาสนาเพราะสิ่งที่ทรงคุณค่าระดับโลกมากมายล้วนรวมอยู่ที่นี่ อย่างพระราชวังแวร์ซายส์ หอไอเฟล ประตูชัย มหาวิหาร Notre-Dame de Paris และพอได้มาลูฟร์ เย่…เราจะได้ย้อนรอยถอดรหัสลับดาวินชีแบบในหนังแล้ว ได้ยลโฉมโมนาลิซ่าตัวจริงเสียที อยากเห็นฝีมือแกะสลักหินอันอ่อนช้อยแสนมหัศจรรย์เหมือนไม่ใช่ฝีมือมนุษย์ของไมเคิลแองเจลโลใจจะขาด…และเทพเจ้าวีนัสของเล็กซานเดรอสแห่งแอนทีออกที่มักอยู่บนปกสมุดวาดเขียนจนคุ้นตาตอนสมัยเด็ก ๆ ก็จะได้เห็นกันคราวนี้ ความเก่าความมีคุณค่าของศิลปะชั้นยอดมันอึนมึนตลบอบอวลในสมองไปหมดจนแทบจะถอดวิญญาณกันเลยทีเดียว ความที่ดิชั้นเป็นคนชอบเดินพิพิธภัณฑ์และได้มายืนอยู่ ณ พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ต่อหน้าต่อตาอย่างนี้ ถ้าแสดงออกได้คงชักดิ้นชักงอกรี๊ดสนั่น(ตามประสา)อยู่ตรงนั้นแล้ว..มีความสุขจริง ๆ ค่ะแม้จะเป็นช่วงเวลาอันน้อยนิดก็ตาม
ด้านนอกบริเวณทางเข้า
เข้าไปห้องแรกจะพบกำแพงเก่าที่ยังคงรักษาไว้ให้เหมือนเดิม
การดูพิพิธภัณฑ์ที่นี่ถ้าใช้เวลาจริง ๆ คงเป็นอาทิตย์ถึงจะดูหมดเพราะพิพิธภัณฑ์เป็นตึก 3 ชั้น มีถึง 225 ห้อง ภาพเพียง 1 ภาพถ้าฟังการบรรยายประวัติกินเวลาเกือบ 20 นาทียิ่งถ้าเป็นภาพใหญ่รายละเอียดมากประวัติก็เยอะก็ยิ่งกินเวลานาน การเดินชมเห็นเขาชมกันนิ่ง ๆ เฝ้ามองตัวศิลปะอย่างพินิจยาวนาน แต่ของเราเห็นเอาแต่ถ่ายรูปคู่กับศิลปะดะไปหมด ชมหรือเดินผ่านก็ไม่รู้!? เข้ามาในลูฟร์ควรเกาะกลุ่มกันไว้เพราะนักล้วงเยอะชุกชุมยิ่งกว่าข้างนอก ชุมหรือไม่ชุมเห็นมีป้ายสัญลักษณ์ให้ระวังคนล้วงกระเป๋าก็แล้วกัน การเข้าออกหรือจะเข้าห้องน้ำต้องรอ นัดแนะกันให้ดีแต่ถ้าเกิดหลงให้สังเกตรูปปิรามิดแก้วแล้วเดินตามนั้นก็จะพบทางออกเองแต่อย่าเสี่ยงดีกว่าเพราะวกวนน่าดู เวลาน้อยอีกแล้วจึงได้ชมเพียงไม่กี่ห้องและ…นั่น ชั้นพบเธอแล้ว “โมนาลิซ่า” เพิ่งจะรู้ว่าภาพหญิงงามนี้วาดบนไม้ มีความละเอียดละออมากถ้าดูใกล้ ๆ จะเห็นแม้กระทั่งลายเส้นขน ด้านหลังเป็นแม่น้ำลำธาร โขดหิน ทางเดิน มีสะพานอยู่แห่งเดียวที่เป็นเส้นทางที่จะนำไปสู่เมืองเยรูซาเล็ม รอยยิ้มของนางเป็นรอยยิ้มแห่งความเยือกเย็น(จริง) และไม่ว่าเราจะยืนมองนางจากจุดใดนางก็จะมองตามเราไป…เสียดายที่ไม่สามารถเข้าไปดูได้ใกล้ ๆ เพราะจุดนี้น่าจะเป็นไฮไลท์ของที่นี่แฟนคลับเธออออยู่ด้านหน้าจนแน่นแทบจะขี่คอ แล้วก็กั้นคอกด้านหน้าซะห่าง ถ่ายรูปก็แสนลำบากเห็นมั้ยละไม่ชัดเลย…ประทับโมนาลิซ่าไว้ในความทรงจำซักพักก็จำต้องโบกมือลา…จากภาพเขียนผ่านขึ้นบันไดบริเวณห้องโถงใหญ่ อา..นั่นก็คุ้นรูปปั้นผู้หญิงมีปีก เทพีไนกี้ เทพแห่งชัยชนะ ยิ่งเข้ามาเจอรูปปั้นหินอ่อนวีนัสของไมเคิล แองเจลโล และอีกหลาย ๆ ผลงานแทบไม่เชื่อว่านี่คือฝีมือมนุษย์ เพิ่งรู้ลึกอีกว่าไมเคิล แองเจลโลเป็นเกย์มิน่าถึงปั้นแต่รูปผู้ชายแสดงว่า ดีเอ็นเอผ่าเหล่าของพวกศิลปินเหล่านี้ล้วนมีมาตั้งแต่อดีตกาล…
ตามหาจนเจอแต่..เข้าไม่ถึง
ภาพวาดส่วนใหญ่ล้วนเป็นเรื่องราวชีวิตความเป็นอยู่ของคนสมัยนั้น
อย่างที่เคยบอกหญิงงามยุคนั้น ต้องสะโพกผาย เอวหนา และต้องมีหน้าท้อง
วันนี้คนเยอะ
เวลาไม่พอ ดูได้นิดเดียว
เทพเจ้าแห่งชัยชนะ
เทพเจ้าวีนัส
รูปนี้ดูดี ๆ จะเห็นคน ๆ เดียวแต่มีทั้งหญิงและชายเปรียบให้เห็นว่าธาตุแท้ของมนุษย์ลึก ๆ แล้วจะมีสองเพศในคนคนเดียวกัน
ความจริงออกจากลูฟร์ช่วงเย็นเราแวะไป “หอไอเฟล” กันด้วยแต่ขอรวบเอาไว้ตอนเก็บตกทีเดียว ซึ่งจะมีเรื่องราวที่ยังตกค้างหรือเล่าไม่หมดมาเพิ่มให้อ่านกัน เย็นนี้เตรียมตัวพักผ่อนก่อนเพราะพรุ่งนี้ต้องออมแรงเตรียมตัวเป็นเด็ก(อีกหน) กับโปรแกรมทัวร์ดีสนีย์แลนด์ของฝรั่งเศสกะจะไปสัมผัสเครื่องเล่นเสียว(หวาดเสียว) คือ อยู่ ๆ ก็ไปเล่นตกจากลิฟท์ในความสูงของชั้นที่ 13 ซะงั้น อ้าว..ลองดูทดสอบความแข็งแรงของหัวใจ และสุดท้ายกับการช้อปปิ้งในห้างราฟาเยสอันโด่งดัง
Bonne nuit…Fais de beaux reves
บอนนุย..แฟเดอโบแรฟ
ราตรีสวัสดิ์…นอนหลับฝันดีค่ะ