เด็ก “พั้นช์”

                ดิฉันเป็นคนชอบคุยกับเด็ก โดยเฉพาะเด็กที่อายุประมาณ 2-3 ขวบขึ้นไป ชอบฟังความคิดความอ่าน ดูการพูด วิธีการเอาตัวรอดจากการถูกทำโทษ วิธีเอาใจผู้ใหญ่เพื่อจะได้ไปเที่ยวกินขนมที่ตัวเองชอบโดยการสร้างสรรค์ปั้นแต่งเรื่องราว ดิฉันมีความเชื่อว่าเด็กฉลาดทุกคน  จนเดี๋ยวนี้ดิฉันมีเพื่อนเป็นลูกของลูกน้องที่ทำงานหลายคน อายุประมาณ 2 ขวบขึ้นไปรวมลามี่(เด็กแพ้แป้งสาลี)ด้วยก็ 7 คนพอดีและจะคุยกับพวกเค้าเหมือนเพื่อนคนหนึ่งแต่อาจอยู่ในสถานะเป็น “คุณป้า” อย่างมากก็ “คุณยาย”  แต่…ดิฉันได้มารู้จักเด็กพั้นช์ ที่แปลว่า เครื่องดื่มน้ำผลไม้ที่มีแอลกอฮอล์ผสมพอให้มีกลิ่นและทำให้ผู้ดื่มมึนงงเล็กน้อย…เพราะสถานะความเป็นอยู่ของเธอค่อนข้างจะแตกต่างจากเด็กอื่นทั่วไป เด็กผู้หญิงหน้าตากลมบล๊อก อายุ 2 ขวบ แววตามาดมั่น พูดยังไม่ทันชัดยามอยู่กับพ่อแม่ ต๊กภาษาโคราชแบบไม่ชัดจนไฟแลบ! ที่สำคัญคนอย่างเธอแม้จะเป็นเด็กตัวเล็ก ๆ แต่ก็ฉลาดพอและยอมรับในสิ่งที่ผู้ใหญ่ประสงค์ดีหยิบยื่นให้ทั้งที่ไม่ใช่ญาติ  เธอเป็นใครและเข้ามาอยู่ในแวดวงสนทนาได้อย่างไร ซิลเดอเรลล่ารึเปล่า!?  ไม่ถึงขนาดเทพนิยายแค่นิทานพื้นบ้านเพราะเบื้องหลังอันแสนจะธรรมดาเมื่อหลายเดือนก่อน…จากหลานเจ้าของอู่ซ่อมทำสีรถที่ทั้งพ่อและแม่ช่วยเหลืองานพี่ชายในอู่  ใครจะไปเชื่อว่าคนเป็นแม่มีชื่อในการขัดสีรถได้ฉกาจ…แรงดีรองพื้นได้เนียนกริบ… รอยเฉี่ยวมีรอยขูด ขัดได้หมด…ภายในอู่จะมีเด็กกะโปโลตามภาษาเด็กอู่ที่ต้องเจอกับฝุ่น คราบน้ำมันล้างสี จารบี และใบหน้าที่เต็มไปด้วยขี้มูกกรังนอนเฝ้าพ่อแม่อยู่ในนั้นด้วย ได้เวลามื้อเที่ยงคราใดพั้นช์ก็จะติดสอยห้อยตามแม่มากินก๊วยเตี๋ยวร้านก๊วยเตี๋ยวหมูตุ๋นข้างบ้านดิฉันอยู่เสมอ จนมาหลงติดกับกับผู้ใหญ่สองสาวพี่น้องเจ้าของร้านใจดี พี่ปุ๊ก น้องปลาเข้า ดิฉันเองก็เจอกับพั้นช์บ่อยจนเราเริ่มสนิทกันและมีโอกาสคุยกันมากขึ้นแบบเพื่อนต่างวัยแต่หัวใจเดียวกัน ((*_*))

                  :  พูดไม่มีหางเสียง

                 มาในสถานะลูกค้าตัวน้อยครั้งแรกพั้นช์เป็นเด็กพูดห้วนสำเนียง โคราชปนลาว ถ้าไม่เข้าใจในภาษาก็จะฟังดูเหมือนพูดไม่ไพเราะ เรื่องพูดไม่มีหางเสียงเป็นปัญหาของเด็กทั่วไป ขึ้นอยู่กับพื้นฐานความเป็นอยู่ การเลี้ยงดูของพ่อแม่ที่เข้มงวดกับการสอนสั่งและเป็นตัวอย่างในการพูดขนาดไหน บางครั้งเราก็ฟังพั้นช์พูดกันไม่ออกต้องให้คนเป็นแม่แปลให้ฟัง พอเริ่มคุ้นร้านพั้นช์เริ่มวิ่งไปมารื้อค้น ทิ้งข้าวของเหมือนไม่รู้ว่านี่คือบ้านของคนอื่นตามประสาเด็ก ผู้ใหญ่สองคนจึงเริ่มเข้าไปวุ่นวายสร้างกฎเกณฑ์ระเบียบวินัยแทนพ่อแม่ซึ่งพวกเค้าก็เต็มใจ (อย่างน้อยก็มีคนช่วยเลี้ยงพั้นช์ตอนทำงาน) จนต่อมาพั้นช์ก็ถูกนำมาทิ้งไว้ที่ร้านก๊วยเตี๋ยวช่วงวันที่ไม่ได้ไปโรงเรียน(อนุบาล 1) และถูกพัฒนาหัดในสิ่งง่าย ๆ อย่างเข้าใจชีวิต ครั้งแรกให้เป็นเด็กรับorder เก็บและทอนสตางค์ตามที่ผู้ใหญ่สองคนสอน อย่างเวลาลูกค้าเข้าร้านก็จะสอนให้พูดว่า “รับเส้นอะไรคะ!?” แต่พั้นช์จะพูดด้วยสำเนียงโคราชอย่างรวดเร็ว “เอาเส่นไร ฮึ!”  คะด้วยสิลูก “ค่ะ เอาเส่นไรคะ!?” ถาม…ไม่ถามไปตามอารมณ์ แต่บางวันถามลูกค้าคนอื่นอยู่ดี ๆ แต่ถ้ามีลูกค้าแต่งตัวสวย ๆ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่เข้ามา เจ้าพั้นช์เหมือนถูกสาปยืนจ้องตะลึงเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า ไม่เป็นอันทำงานทำการ(ก็อยากสวยอย่างเขานี่) หรืออย่างเห็นพี่ปุ๊กกำลังตำน้ำพริกอยู่หลังครัวเด็กขี้สงสัยก็จะวิ่งเข้าไปช่วยตำ “เอาหมุ่นมั้ย!?” (หมายถึงตำละเอียดมั้ย) ก็ต้องสอนให้ลงหางเสียงว่า คะ ขาเวลาพูดกับคนอื่น ตำละเอียดมั้ยคะ…ผู้ใหญ่ก็ย้ำสอนไป เด็กก็คงงง! หนูพูดภาษาเกิดของหนูอยู่ดี…ดี๊… มาดัดแปลงของหนูโม๊ดดดด…

                 :  เด็กกินเผ็ด

                  ความที่พ่อแม่ไม่มีเวลามานั่งทำกับข้าวสำหรับเด็ก พอโตพอที่จะกินข้าวได้เองก็เลยกลับกลายเป็นว่าพ่อแม่กินอย่างไรลูกก็กินอย่างนั้นด้วย แม่ชอบกินเผ็ด เด็กพั้นช์ก็สามารถด้วยเหมือนกันอย่างถ้าจะให้เลือกระหว่าง ปลานิลทอดกับปลาดุกผัดเผ็ด พั้นช์จะเลือกปลาดุกผัดเผ็ด ล้มตำไทยกับลาว จะเลือกตำลาวรสเผ็ดจัด วันก่อนเดินเข้ามาในร้านเห็นหัวดำ ๆ จุ่มกันอยู่ 3-4 หัวเหมือนรุมอะไรกัน เข้าไปใกล้ ๆ…แหม่…โซ่ยตำลาวกันอย่างชนิดถึงพริกถึงขิงในนั้นมีเด็กพั้นช์แซบอยู่กับเขาด้วย เห็นแล้วตะลึงกับการกินของเด็กคนนี้มากเพราะเวลากินเผ็ดก็จะไม่ออกอาการใด ๆ นิ่ง ๆ เฉย ๆ ไม่แสดงอาการซี๊ดซ๊าดห่อปากไล่ความเผ็ดร้อน เผยให้เห็นแต่ริมฝีปากแดงก่ำและเหงื่อเม็ดโป้ง ๆ ผุดบนใบหน้ายังกับผู้ใหญ่…โอ้ว…มายก้อด!

                  :  รู้วิธีเอาใจ

                  พั้นช์คลุกคลีกับพี่น้องสองสาวจนได้ของเล่น เสื้อผ้า รองเท้าก๊อก ๆ (รองเท้าส้นสูง) จากใครต่อใครหลายคน และถูกอบรมกล่อมเกลาเรื่องวินัยหลายอย่างนอกจากการพูดให้มีหางเสียงและต้องมีคะ ขา ค่ะ เวลากินอาหารเสร็จต้องบ้วนปากทุกครั้ง หยิบของแล้วต้องเก็บไว้ที่เดิม มีเศษขยะก็ต้องทิ้งลงถัง จะเข้าห้องน้ำต้องมาบอกเพื่อผู้ใหญ่จะพาเข้าและสอนวิธีชำระล้าง ที่สำคัญต้องนอนกลางวันซึ่งก็เต็มใจเป็นอย่างยิ่งเพราะรู้ว่าตื่นมาผู้ใหญ่จะพาไปโลตัสและกินไก่ KFC (ไก่ป๊อป) ของโปรด มาระยะหลังนี้เจ้าพั้นช์ฉลาดพอที่จะเปลี่ยนสรรพนามเรียกผู้ใหญ่สองคนว่า “แม่”  อย่างเต็มคำ (ได้ใจไปเต็ม ๆ) มิน่าเดี๋ยวนี้ได้ยินคำว่า “แม่ปุ๊กคะ แม่ปลาคะ” ทั้งวัน ความคุ้นสนิทได้คืบคลานเข้ามาเกาะหัวใจแม่ลูก 3 คนไปแล้วโดยปริยาย…จากแค่พาไปห้าง พั้นช์ได้ก้าวหน้าห่างบ้านไปไกลถึงวังน้ำเขียวค้างคืนกับคนอื่นซึ่งตอนแรกคนเป็นแม่กลัวว่าลูกจะร้องไห้โยเย…ความที่กลัวเด็กร้องไห้ผู้ใหญ่สองคนก็เลยแวะซื้อขนมให้ตลอดทาง เจ้าพั้นช์ก็ชาญฉลาด “ต่อไปหนูจะไปกับแม่ปลาทุกครั้งเลยค่ะ” อย่างนี้ไม่เรียกโยเยแล่ว!…ไชโย้…ซะมากกว่า

                   :  เด็กสร้าง

                   เสียงรถขายไอศครีมวอลล์มาจอดหน้าร้านก๊วยเตี๋ยว เป็นสัญญาณเตือนว่า วันนี้เราได้กินไอติมแล้ว เด็กพั้นช์จ้องไอติมในมือแม่ปุ๊กตาไม่กระพริบแต่ไม่ร้องขอกินซักแอะ! ผู้ใหญ่กัดไอติมหมดไปเกือบครึ่งแท่ง เด็กน้อยก็ยังเฝ้าไอติมแท่งนั้นอย่างใจจดใจจ่อ เสียงกลืนน้ำลายเอือก! จนสุดกลั้น “แม่ปุ๊กขอพั่นกิ๋นไอติ๋มได้มั้ยคะ!?” แม่ตัวปลอมปฏิเสธลั่น “ไม่ได้ก็พั่นป่วยไม่สบาย กินไม่ได้หรอก” ตอนนี้มาเป็นฉาก ๆ  “ตอนหนูอยู่ก๊ะทุ่ง รถไอติ๋มเข่ามาแม่หนูยังซื่อให้หนูกิ๋นเลย” แม่ตัวปลอมตอบกลับไปว่า “ก็นั่นแม่หนูแต่นี่แม่ปุ๊กนี่” ถูกสวนกลับทันควัน “เอ๊า…ก็หนูเรียกแม่ปุ๊กว่าแม่แล้วไง ทำไมถึงซื่อให้กิ๋นไม่ได้…” เรื่องนี้ได้ไปสอบถามคนเป็นแม่ว่าเด็กพั้นช์ได้พูดอย่างนี้จริงรึเปล่า แม่บอกไม่เคยมีรถไอติมไหนผ่านเข้ามาเลย (โธ่…ให้เด็กกินซักคำสองคำก็ไม่ต้องถูกย้อนขนาดนี้…) สร้างเรื่องได้เจ๋งสุด…

                  :  สวัสดีตอนเช้า

                  ได้เวลาเปิดเทอมเด็กพั้นช์ได้ขึ้นชั้นอนุบาล 2  เห็นซ้อนมอเตอรไซค์แม่ไปโรงเรียนในซอยทุกวันผ่านหน้าร้านก๊วยเตี๋ยวก็จะตะโกน…แม่ปุ๊ก…แม่ปลา…เหมือนแวะมาสวัสดีก่อนไปโรงเรียน ไม่เจอใครคนใดคนหนึ่งก็จะถามว่าไปไหน ครั้งหนึ่งพั้นช์ซ้อนมอเตอร์ไซค์พ่อผ่านมาแถวหน้าบ้านเห็นดิฉันยืนอยู่ก็จะตะโกนลั่น “ป้าโป่ง….” พร้อมโบกมือบ๊าย…บาย ดิฉันโบกมือตอบอย่างอัตโนมัติ “หวัดดีจ้า…” ไม่ทันจะทักกันมากกว่านี้เห็นหลังไปไกลลิบซะแล้ว มารู้ทีหลังคนเป็นพ่อถามว่า รู้จักเขาด้วยหรือถึงไปตะโกนอย่างนั้น เจ้าพั้นช์ตอบด้วยความภาคภูมิใจ “ทำไมจะไม่รู่จั๊กก็ป้าโป่งที่ซื่อชุดให้หนูไง”  ความจำแม่นของเด็กก็ทำให้ผู้ใหญ่อดชื่นใจจนอมยิ้มไม่ได้นะคะ…

เด็กหญิงพั้นช์คนสวย…

5 responses to this post.

  1. Posted by หนูแจ๋ว on สิงหาคม 3, 2010 at 2:03 am

    พี่โป่ง จะเป็นหัวหน้าแก๊งค์เด็กรึเปล่าคะ มีเด็กในสังกัด ตั้ง 7 ตน

    ตอบกลับ

  2. วันนี้ได้รับfw.mail เพลงอิ่มอุ่น ของพี่สมจุ้ย ฟังอย่างพินิจหลายเที่ยวทำให้คิดถึงอกอุ่นๆของแม่
    ขอมอบเพลงนี้ให้น้องพั้นซ์ น้องลามี่ และลูกของแม่ทุกคน

    ….ให้เจ้าเป็นเด็กดี ให้เจ้ามีพลัง ให้เจ้าเป็นความหวังของแม่ต่อไป….

    ตอบกลับ

  3. พี่ปูก็ชอบฟังเด็กๆ เล่าเหมือนกัน

    ตอบกลับ

ใส่ความเห็น